คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยกังวลกับปัญหาด้านการพัฒนาการในเด็ก “เอ๊ะ ทำไมลูกชั้นพัฒนาช้ากว่าเด็กข้างบ้าน” หรือบางทีก็แอบคิดว่า ลูกมีท่าทางซึมๆ ไม่มีสมาธิ ขี้หงุดหงิด หรือแม้แต่..เรียนไม่เก่ง
หลายบ้านคาดเดาไปต่างๆ นานา หายาบำรุงอาหารเสริมมาให้ลูกกิน พาลูกไปเรียนพิเศษต่างๆ นาๆซึ่งบางทีก็แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ทั้งๆ ที่เรื่องเหล่านี้บางทีก็แก้หรือป้องกันได้ง่าย แค่พาลูกไปรับการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมตามช่วงวัยเท่านั้น
ยกตัวอย่างปัญหาสุขภาพที่เด็กควรจะได้รับการเยียวยาแต่เนิ่นๆ หากตรวจพบ เช่น ปัญหาเรื่องการได้ยิน ซึ่งเด็กทุกคนจะได้ยินเสียงตั้งแต่ตอนนอนอยู่ในครรภ์คุณแม่ เมื่อคลอดออกมา การได้ยินจึงเป็นประสาทสัมผัสที่สำคัญของการพูดและพัฒนาการทางภาษา ส่งผลต่อความสามารถในการติดต่อสื่อสาร การเรียนรู้ พฤติกรรม การพัฒนาทางอารมณ์และสังคม ของเด็กไปจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
แต่ทุกวันนี้ ในประเทศไทย เด็กแรกเกิดทุกๆ 1 พันคน จะมีเด็กที่ถูกตรวจพบว่าเป็นเด็กที่มีการได้ยินบกพร่อง ประมาณ 1 ถึง 3 คน ทั้งๆ ที่การตรวจคัดกรอง “การได้ยิน” นั้น สามารถที่จะตรวจได้ทันทีภายใน 15 นาทีนับจากแรกเกิด ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ทั่วโลกแล้วว่า ควรดำเนินการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดทุกคน เพื่อให้ได้รับการรักษาและฟื้นฟูการได้ยินอย่างเหมาะสม ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการพูด ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ และสังคมของเด็ก รวมทั้งการใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข
นอกจากนี้ยังมีโรคซีดที่เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญของเด็กไทยมาตลอด กรมอนามัยเคยสำรวจภาวะโลหิตจางโดยการตรวจเลือดเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศจำนวนกว่า 5,000 คน พบว่าเด็กไทยทุก 100 คน จะมีผู้ที่โลหิตจางสูงถึง 30 คน !!
ปัญหาโรคซีดเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น ขาดธาตุเหล็ก คลอดก่อนกำหนด มีพยาธิ มีภาวะทางพันธุกรรมบางอย่าง ฯลฯ แต่ผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ในรายที่เป็นน้อยๆก็อาจจะแค่เบื่ออาหาร ซึม เหนื่อยง่าย ไม่มีสมาธิ สติปัญญาด้อยลง ไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ในรายที่เป็นมากๆ อาจพบเห็นได้จากอาการผิวหนังซีด อ่อนแอลงเรื่อยๆ
แต่ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ การป้องกันที่ง่ายกว่าการรักษา การพาลูกไปตรวจให้มั่นใจว่ามีค่าฮีโมโกลบินตามเกณฑ์หรือไม่ โดยตรวจ 2 ครั้งในเพศชายและหญิง ครั้งที่ 1 (ช่วงอายุ 6 - 9 เดือน) ครั้งที่ 2 (ช่วงอายุ 3 – 6 ปี) และครั้งที่ 3 เฉพาะเพศหญิง (ช่วงอายุ 11 – 21 ปี) โดยการเจาะเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ทำให้สามารถตรวจคัดกรองภาวะซีดหรือโลหิตจางและรู้คำตอบได้ทันที
ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าเด็กที่เป็นโรคซีด สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ มีระบบประสาท ความจำจะดีขึ้นในเวลาไม่นานหลังรับการรักษา ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วชักสนใจ ลองคลิกไปดูข้อมูลเรื่องของการตรวจสุขภาพอีกมากมายได้ที่ www.healthcheckup.in.th