• การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้เราได้รู้ถึงสถานการณ์ทางสุขภาพที่เป็นอยู่ซึ่งโดยหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมนั้น แพทย์จะแนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำ 
  • ทุกคนสามารถทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เช่น การคำนวณดัชนีมวลกาย วัดเส้นรอบเอว วัดการเต้นของหัวใจ ซึ่งถ้าหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตัวเองอยู่เสมอ จะทำให้เราค้นพบความผิดปกติตัวเองได้ เพื่อไปรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาได้เร็วและทันท่วงที
  •  เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคหัวใจและหลอดเลือด การติดแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติด การคัดกรองกระดูกพรุน การประเมินภาวะโภชนาการ การประเมินภาวะสมองเสื่อม ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ได้รับทราบผลการประเมิน และยังได้รับคำแนะนำในการตรวจเพิ่มเติมสำหรับบุคลที่มีความเสี่ยงด้านต่างๆ อีกด้วย
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพที่เป็นอยู่ จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ดี

 

 

            เราทุกคนล้วนแต่ต้องการมีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก็อาจจะต้องเผชิญกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจะเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น จนทำให้ร่างกายเสื่อมถอยลงตามวัย หรือสภาพสังคมแวดล้อมที่อาจจะทำให้คนเรามีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

            การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้เราได้รู้ถึงสถานการณ์ทางสุขภาพที่เป็นอยู่  ซึ่งโดยหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมนั้น แพทย์จะแนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำ หรืออย่างน้อยทุก 3 ปี ในบางกรณี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการในบางกรณี เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง  หรืออาจจะตรวจหาโรคมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่  มะเร็งลำไส้  มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และยังมีตรวจ               การมองเห็น  การได้ยิน ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

            สำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพของตนเอง ไม่จำเป็นต้องรอการตรวจสุขภาพตามวาระดังกล่าวเท่านั้น เพราะสามารถทำการตรวจได้ด้วยตนเอง ที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน โดยหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งจะทำให้เราค้นพบความผิดปกติตัวเองหรือคนรอบข้างได้ทันท่วงที

 

            สิ่งที่เราควรหมั่นตรวจสอบ หรือสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ประกอบด้วย

  • การคำนวณดัชนีมวลกาย

ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) เป็นค่าดัชนีที่คำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง เพื่อใช้เปรียบเทียบความสมดุลระหว่างน้ำหนักตัวต่อความสูงของมนุษย์ และจะเป็นค่าตัวเลขที่สามารถนำไปเปรียบเทียบ ว่าตัวเรามีการดูแลรูปร่างและน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ นอกจากนี้ยังทำให้ทราบอีกด้วยว่า เรามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคยอดฮิตต่างๆ หรือไม่ เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน

การคำนวณดัชนีมวลกาย สามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ชั่งน้ำหนักเป็นกิโลกรัม และวัดส่วนสูงเป็นเมตร โดยใช้สูตร กิโลกรัม/เมตร(ยกกำลัง2) โดยมีเกณฑ์ของดัชนีมวลกาย ดังนี้ 

  • น้อยกว่า 18.5 (<18.5) แปลผลว่า ผอมเกินไป
  • มากกว่าหรือเท่ากับ 18.5 แต่น้อยกว่า 25 (มากกว่าหรือเท่ากับ 18.5 แต่ < 25) แปลผลว่า น้ำหนักตัวเหมาะสม
  • มากกว่าหรือเท่ากับ 25 แต่น้อยกว่า 30 (มากกว่าหรือเท่ากับ 25 แต่ < 30) แปลผลว่า น้ำหนักเกิน
  • มากกว่าหรือเท่ากับ 40 แปลผลว่า อ้วนมากและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

            ทั้งนี้ การประเมินค่าดัชนีมวลกายนั้น ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก เช่น นักกีฬา นักเพาะกาย ที่มีน้ำหนักมากเกิน 100 กิโลกรัม แต่ไม่จัดอยู่ในขั้นอ้วนหรืออันตรายมาก

  • การวัดเส้นรอบเอว

การรู้ขนาดรอบเอวของตัวเอง สามารถใช้เป็นข้อมูลหนึ่งที่บอกถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปรกติ ตลอดจนโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ฯลฯ ซึ่งขนาดเส้นรอบเอวหรือเส้นรอบพุงในคนเอเชีย ในผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว (90 ซม.) ส่วนเส้นรอบวงเอวในผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้ว (80 ซม.)

  • การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (ชีพจร)

ชีพจรเป็นแรงสั่นสะเทือนของกระแสเลือด เมื่อกระทบผนังหลอดเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ทำให้ผนังของหลอดเลือดแดงขยายออกเป็นจังหวะ เราสามารถวัดชีพจรตัวเองได้ง่ายๆ แค่ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางตรงตำแหน่งเส้นเลือดแดง โดยตำแหน่งที่นิยมมากที่สุด คือ บริเวณเส้นเลือดแดงที่ข้อมือด้านใน ให้กดหรือสัมผัสจนได้ความรู้สึกของการเต้นของชีพจร นับจำนวนครั้งของชีพจรใน 1 นาที หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วหัวแม่มือทำการวัด เพราะนิ้วหัวแม่มือมีชีพจรที่เต้นแรง และควรนับชีพจรในขณะนั่งพักจากการงานอื่นๆ ไม่เครียด ไม่ตกใจ ไม่มีไข้

ค่าปกติของชีพจรในผู้ใหญ่ปกติ จะมีความแรงและจังหวะของชีพจรที่สม่ำเสมอทุกครั้งและควรนับได้ 60-100 ครั้งต่อนาที แต่อาจมีอัตราการเต้นของชีพจรลดลงในผู้สูงอายุ ถ้าหากวัดค่าชีพจรได้ไม่สม่ำเสมอ หรือค่าที่วัดได้ต่ำกว่า 60 หรือมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที ร่วมกับมีอาการเหงื่อออก ใจสั่น แน่นหน้าอก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

  • การตรวจสอบประวัติครอบครัว

การที่บุคคลในครอบครัวมีประวัติว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคทางกรรมพันธุ์ อาจจะทำให้เรามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคบางชนิดได้มากกว่าคนปกติ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นต้น จึงควรมีการสอบถามประวัติการเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัว เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกรรมพันธุ์ด้วย

  • พฤติกรรมสุขภาพของตนเอง

ในกรณีที่มีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย กินอาหารไม่เป็นเวลา นอนดึก ทำงานเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นผลเสียต่อร่างกายเสมอ หรือทำงานในสถานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและอุบัติเหตุ เช่น เสียงดัง ทำงานกับเครื่องจักรเป็นเวลานาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเราไม่ช้าก็เร็ว

 

  • การประเมินสภาวะสุขภาพอื่นๆ

เป็นการทำโดยใช้แบบประเมิน เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคหัวใจและหลอดเลือด การติดแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติด การคัดกรองกระดูกพรุน การประเมินภาวะโภชนาการ การประเมินภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น การค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นอันตราย หรือเจ็บป่วยรุนแรงได้ จะช่วยให้หาทางป้องกันได้เหมาะสม

 

อย่าลืมว่า การมีสุขภาพดีนั้นไม่ใช่หน้าที่ของแพทย์หรือโรงพยาบาล แต่ต้องเป็นเรื่องที่เราหมั่นเอาใจใส่ดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพแล้ว เราก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม อย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจจะตรวจสุขภาพของตนเอง ลองทำแบบทดสอบประเมินเบื้องต้นที่ www.healthcheckup.in.th ซึ่งนอกจากจะได้รับทราบผลการประเมินเบื้องต้นแล้ว ยังมีคำแนะนำในการตรวจเพิ่มเติมสำหรับบุคลที่มีความเสี่ยงด้านต่างๆอีกด้วย

กดแค่สองจึ้ก รู้ลึก รู้กว้าง เรื่องสุขภาพตัวเอง สะดวก ง่าย และไม่เสียสตางค์ !!